กรมบัญชีกลาง กำหนดแนวทาง การใช้จ่าย ของ ภาครัฐ เพื่อ ความโปร่งใส

กรมบัญชีกลาง กำหนดแนวทาง การใช้จ่าย ของ ภาครัฐ เพื่อ ความโปร่งใส

ทาง กรมบัญชีกลาง ภายใต้กระทรวงการคลังได้มีการกำหนดแนวทางในด้าน การใช้จ่าย ของหน่วยงาน ภาครัฐ อิงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในปี พ.ศ. 2561 ทั้งนี้เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างถูกต้องและมี ความโปร่งใสอ้างอิงตามกระทรวงการคลัง โดยในปี 2561 

กระทรวงการคลังได้กำหนดแนวทางให้หน่วยงานของภาครัฐถือปฏิบัติ และจัดให้มีการควบคุมภายในให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยว่าด้วยมาตรฐาน และหลักเกณฑ์การดำเนินการควบคุมภายใน สำหรับหน่วยงานของรัฐ

นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลางรายงานว่าในปี 2561 กระทรวงการคลังได้วางระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยข้อกำหนด และพารามิเตอร์สำหรับการดำเนินงานของ การควบคุมภายในของหน่วยงานของรัฐ เพื่อการปฏิบัติ และการจัดระบบการควบคุมภายในของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกระทรวงการคลัง

โดยทางกรมบัญชีกลาง ได้ทำการกำหนดระเบียบการควบคุมภายในสำหรับการจ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐ สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตร ต้องมีการออกใบเสร็จรับเงินหรือเซลล์สลิปจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการ

สำหรับการส่งหลักฐานการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ควรทำการสร้างไทม์ไลน์ในการใช้จ่ายที่ชัดเจนและยอมรับได้

โดยนายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้ทำการเผยว่า โครงการคนละครึ่ง จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com จนกว่าจะครบจำนวน

ซึ่งผู้ที่สามารถลงทะเบียนนั้นจะต้อง ไม่เคยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมาก่อน หรือเป็นผู้ที่เคยลงทะเบียนในครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ

ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 เวลา 12.00 น. ได้มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 5.57 แสนร้านค้า และผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 7,352,274 คน

มียอดการใช้จ่ายสะสม 10,155 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 5,178 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 4,977 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 214 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ

รัฐบาล อนุมัติประกัน ราคายาง เฟสสอง มูลค่า 10,042 ล้านบาท

รองโฆษกได้เผยถึงข้อสรุปการประชุม ครม. สัญจรที่จัดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยได้ข้อสรุปว่า รัฐบาล ได้ทำการอนุมัติให้มีการดำเนินการประกัน ราคายาง ในระยะที่สอง ( เฟสสอง ) โดยการดำเนินการในระยะนี้มีมูลค่าโดยประมาณทั้งสิ้น 10,042 ล้านบาท

โดยเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ได้มีจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ (ครม. สัญจร) ครั้งที่ 3/2563 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง, พังงา, ระนอง และสตูล) ณ โรงแรมสแปลชบีช รีสอร์ทไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต

ซึ่งนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดภูเก็ต อย่างเป็นทางการว่า ครม. อนุมัติประกันรายได้ชาวสวนยางพาราระยะที่ 2 จำนวน 10,042 ล้านบาทให้กับ เพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวสวนยางในช่วงการระบาดของ COVID-19

สำหรับโครงการนั้นครอบคลุมเกษตรกรชาวสวนยางกว่า 1.8 ล้านคนและพื้นที่ปลูกยางมากกว่า 18 ล้านไร่ตามข้อกำหนดของโครงการระยะที่ 1 เดิมคือการประกันรายได้ยางพารา 3 รูปแบบ :

1) ยางดิบคุณภาพดี ราคา กก. ละ 60 บาท

2) น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา กก. ละ 57 บาท

3) ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา กก. ละ 23 บาท

โดยหวังว่า ราคายาง โดยรวมจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 บาท

สำหรับการดำเนินงานของโครงการประกัน ราคายาง ใน เฟสสอง นี้หากเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจพบว่าสต๊อกน้อยกว่าหรือเท่ากับสต๊อกเฉลี่ยผู้เข้าร่วมจะต้องมีสต็อกยางเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในอดีตของหนึ่งปี

รัฐบาลจะไม่ได้รับเงินดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปีจาก รัฐบาล หลังจากหนึ่งปีซึ่งได้รับอนุมัติวงเงิน 2,410 ล้านบาท จากผู้เข้าร่วม 4 คนที่ผ่านมาโดยมีปริมาณการจัดเก็บโครงการ 75,692 ตันจากเป้าหมาย 350,000 ตัน

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป